ตอนที่ 835 ร่างห้าธาตุ




ผ่านไปอีกสิบวัน จางลั่วเฉินกลับยังไม่ฟื้นขึ้นมา




กลับกัน เพราะเสียเลือดไปจำนวนมาก ใบหน้าของเขากลายเป็นขาวซีด ผิวทั้งร่างมีฝุ่นปกคลุมอยู่ชั้นหนึ่ง




ภายในร่างของจางลั่วเฉิน พลังชีวิตกำลังไหลออกไป และสามารถตายได้ทุกเมื่อ




สิบวันมานี้ นักบวชชราไม่เคยปรากฎตัวอีกเลย




มีเพียงมู่หลิงซีเท่านั้นที่ยังคงเฝ้าอยู่ข้างกายเขา กุมมือทั้งสองของเขาไว้ และส่งปราณเซียนในร่างเข้าไปในร่างเขาไม่ขาดสาย




ตอนนี้ มู่หลิงซีเองก็นอนหมอบอยู่บนพื้นเพราะเสียปราณเซียนในร่างไปจำนวนมาก ใบหน้างดงามของนางยังขาวซีดกว่าจางลั่วเฉินเสียอีก เห็นได้ชัดว่าอ่อนแอมาก




แต่ว่า มู่หลิงซีกลับไม่ได้ปล่อยมือ หากว่าปล่อยมือแล้ว นางกลัวว่าจางลั่วเฉินจะตายและไม่ฟื้นกลับมาอีก




อีกด้านหนึ่งของภูเขาไฟ




นักบวชชรานั่งขัดสมาธิลงบนพื้น จีวรที่เดิมเรียบง่ายธรรมดาด้านนอก กลับทับไปบนจีวรวิเศษที่เป็นประกายสีทองชิ้นหนึ่ง ร่างทั้งร่างมีไออักขระสีทองเปล่งประกายออกมา มือทั้งสองยกเหนือหัว ฝ่ามือพุ่งขึ้นฟ้า




บนฟ้า แสงโลหิตมากมายระเบิดออกแล้วกลายเป็นหมอกโลหิต มันรวมกันเป็นเสาโลหิตสองอันแทงทะลุชั้นเมฆขึ้นไปแล้วเชื่อมกับฝ่ามือทั้งสองของเขา




ปราณโลหิตถูกดูดเข้าไปในร่างไม่หยุด ร่างที่แห้งเหี่ยวของเขาก็ขยายขึ้น แล้วกลับมามีสภาพอิ่มน้ำอย่างปกติ




"เปรี้ยงเปรี้ยง"




บนฟ้า แมลงโลหิตมากมายร่วงลงมา กองพะเนินสูง พวกมันทั้งหมดต่างก็กลายเป็นร่างแห้งๆไป




ปรมาจารย์ซินซู่สวมชุดพุทธะไร้ฝุ่นปนเปื้อนเอาไว้ แล้วยืนอยู่หน้านักบวชชรา มือทั้งสองประสานกันแล้วโค้งตัวคารวะ "การฝึกฝนของอาจารย์ฟื้นฟูแล้วใช่ไหม ? "




นักบวชชรามองไปยังฝ่ามือใหญ่ของตนเองแล้วพยักหน้า เขาลุกขึ้นแล้วยิ้มพลางกล่าวว่า "แมลงโลหิตเหล่านั้น อย่างน้อยๆ ก็ได้ดูดเลือดของครึ่งเซียนกว่าร้อยคนไป ทุกวันนี้ เลือดสดๆ ของพวกเขาต่างมาอยู่ในร่างของอาจารย์ ทำให้อาจารย์ฟื้นฟูกลับมาในสภาพที่พร้อมที่สุดแล้ว"




"ต่อไป ก็เริ่มเก็บร่างเทพได้ ขอแค่นำร่างเทพไปหลอมรวมนักรบเดนตาย ต่อให้เป็นจักรพรรดิหญิงฉือเหยาแต่ก็ยังต้องกลัวอะไรอีก ? "




แววตาของปรมาจารย์ซินซู่ มองไปยังจางลั่วเฉินที่อยู่ไกลๆ แล้วกล่าวว่า "จางลั่วเฉินฆ่าครึ่งเซียนของสำนักเราไปจำนวนมาก ทำไมอาจารย์ถึงได้ช่วยให้เขาฝึกฝนร่างห้าธาตุได้ ? " 




 แววตาของนักบวชชรามองไปยังจางลั่วเฉินที่แช่อยู่ในลาวา แล้วเผยรอยยิ้มเปี่ยมปัญญาออกมา "หากว่าไม่ใช่เจ้าหนุ่มนี้ปรากฏตัวขึ้นทันเวลา แล้วมาช่วยอาจารย์ ทำให้ภูตราชาเสินชูถอยออกไป เกรงว่าอาจารย์คงรอเจ้าปรากฏตัวไม่ไหวและตายที่นี่แล้ว"




ปรมาจารย์ซินซู่คุกเข่าลงแล้วชันเข่าขึ้นข้างหนึ่ง แล้วกล่าวด้วยท่าทางกรงขามว่า "ศิษย์ได้รับสำนึกเซียนของอาจารย์ก็รีบนำยอดฝีมือของสำนักมาช่วยที่ดินแดนวิญญาณ เพียงแต่ว่า ระหว่างทางไปเจอกับภูตราชาตนหนึ่ง ตอนที่สู้กับนาง ศิษย์ได้รับบาดเจ็บหนัก จึงทำให้มาสายไปก้าวหนึ่ง ขออาจารย์เข้าใจศิษย์ด้วย"




"รีบลุกขึ้นมา อาจารย์ไม่ได้จะโทษเจ้า"




นักบวชชรายิ้มอย่างเมตตา แล้วประคองปรมาจารย์ซินซู่ลุกขึ้นพลางกล่าวว่า "ไม่ว่าอย่างไร อาจารย์ก็ติดค้างน้ำใจจางลั่วเฉินครั้งใหญ่ หากว่าไม่ตอบแทนน้ำใจคืนเขา จิตใจวิถีเซียนก็จะปรากฏรอยตำหนิ และหากเป็นอย่างนั้น ก็จะไม่สามารถก้าวผ่านขั้นสุดท้ายไปได้อีก"




เขากล่าวต่อว่า "แน่นอนว่า หากว่าตัวเขาผ่านด่านนี้ไปไม่ได้….แล้วตายที่นี่….วันหลังอาตมาก็ไม่ต้องตอบแทนน้ำใจเขาอีก"




ในที่สุดปรมาจารย์ซินซู่ก็เข้าใจ ว่าอาจารย์ทำอย่างนี้เพราะอะไร




หากว่า จางลั่วเฉินฝึกฝนร่างห้าธาตุได้ และผ่านมาได้ อาจารย์ก็ถือว่าตอบแทนน้ำใจแล้ว จิตใจวิถีเซียนของตนก็มาถึงจุดอิ่มตัว




หากว่าจางลั่วเฉินทนไม่ได้ และตายในทะเลลาวา ในใจของอาจารย์ก็ไม่ได้รู้สึกเสียดายอะไร และไม่ต้องไปตอบแทนน้ำใจคืนอีก




"คนๆ นี้หากว่าไม่ตาย อนาคตจะต้องกลายเป็นศัตรูใหญ่ของพวกเรา" ปรมาจารย์ซินซู่กล่าวอย่างจริงจัง




นักบวชชรากล่าวอย่างมีนัยยะว่า "ก็ไม่แน่ หากว่า เขาเติบโตขึ้นมาแล้ว คนที่ปวดหัวที่สุด ไม่ใช่พวกเรา"




"อาจารย์หมายถึงจักรพรรดิหญิงคนนั้นที่เมืองศูนย์กลางหรือ ? " ปรมาจารย์ซินซู่กล่าว




นักบวชชรากล่าว "จักรพรรดิหญิงคนนั้นเป็นบุคคลที่สูงส่งระดับไหน ไม่มีทางที่จะออกคำสั่งจับเขาโดยไม่มีสาเหตุแน่ นอกจากว่า การคงอยู่ของคนๆ นี้จะสามารถคุกคามตำแหน่งจักรพรรดิหรือชีวิตของนางได้ ในเมื่อเป็นอย่างนี้ อาตมาก็จะถือว่าช่วยเขาอีกแรง"




ปรมาจารย์ซินซู่จ้องไปที่ร่างของจางลั่วเฉินแล้วกล่าวว่า "แต่ว่า ข้าว่าดูเหมือนเขาจะผ่านด่านนี้ไปไม่ได้...เอ๋..."




ปรมาจารย์ซินซู่ยังไม่ทันกล่าวจบ ในทะเลลาวาก็มีแสงสว่างห้าสีแผ่ออกมา




นอกจากนี้ แสงสว่างยังรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ และครอบคลุมภูเขาไฟไว้กว่าครึ่ง




เดิม พลังชีวิตในร่างของจางลั่วเฉินอ่อนแอมาก แต่ในตอนนี้ กลับแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ ร่างเนื้อก็ราวกับกลายเป็นหินเทพห้าสี แผ่สีดำ ขาว ทอง เขียว และแดงออกมา




ทั้งแผ่นดินและผืนฟ้าราวกับกลายเป็นกลุ่มก้อน ราวกับกลับไปยังตอนที่ก่อกำเนิดโลกขึ้นมาอย่างนั้น




แววตาของนักบวชชราจ้องไปที่ร่างของจางลั่วเฉิน และแสดงแววตาไม่อย่างเชื่อออกมาพลางกล่าวว่า "พลังปณิธานของเจ้าหนุ่มนี้น่าตกใจมาก เขากลับผ่านไปได้จริงๆ และฝึกฝนร่างห้าธาตุได้สำเร็จ พรสวรรค์ของเขา เรียกได้ว่าเป็นอันดับหนึ่งของโลกคุนหลุนนับตั้งแต่สมัยอารยธรมยุคกลางมาเลย"




"ตูม"




จางลั่วเฉินลอยขึ้นไปจากลาวา แล้วกลายเป็นแสงห้าสีพุ่งขึ้นฟ้าแล้ววาดเป็นเส้นโค้ง เขาพุ่งลงดิน แล้วมายืนห่างไปจากปรมาจารย์ซินซู่กับนักบวชชราไปไม่ไกล




แม้ว่าก่อนหน้านี้เขาจะหมดสติอยู่ตลอด แต่ว่าพลังสมาธิของเขากลับยังอยู่ จึงได้ยินที่นักบวชชราและปรมาจารย์ซินซู่พูดคุยกัน




แววตาของจางลั่วเฉินมีประกายห้าสี แล้วจ้องไปที่ร่างของนักบวชชรา เขาหัวเราะเย้ยหยันตนเอง "ที่แท้ ผู้อาวุโสก็คือเจ้าสำนักของสำนักฌานมรณะ บรรพบุรุษที่มีชื่อเสียงโด่งดังคนนั้น"




นักบวชชรายิ้มน้อยๆ "เป็นอาตมา"




จากนั้น นักบวชชราก็กล่าว "ยินดีด้วยที่โยมฝึกฝนร่างห้าธาตุได้สำเร็จ นับจากนี้ ในผู้ฝึกฝนขั้นเดียวกัน ก็จะไม่มีใครสามารถสู้เจ้าได้อีก"




แววตาของจางลั่วเฉินจ้องไปยังร่างแมลงโลหิตที่พื้น แล้วพลันคิดไปถึงแมลงโลหิตที่กลืนกินครึ่งเซียนเหล่านั้นในเขาเทพวิญญาณขึ้นมา เขาหรี่ตาลงแล้วกล่าวเสียงเข้ม "ที่แท้ เจ้าก็เลี้ยงแมลงโลหิตไว้"




นักบวชชราส่ายหัวทันทีแล้วกล่าว "ไม่ แมลงโลหิตเหล่านี้ คือหนอนศพถือกำเนิดมาจากร่างศพเทพ เป็นสิ่งมีชีวิตภายในหุบเขาเทพวิญญาณอยู่แล้ว อาตมาเพียงแค่ใช้วิชาพุทธะมรณะบังคับให้พวกมันไปทำเรื่องต่างๆเท่านั้นเอง"




จางลั่วเฉินกล่าว "บังคับให้พวกมันไปดื่มเลือดสดๆจากทุกคนหรือ แล้วก็ใช้เลือดสดๆเหล่านี้มาฟื้นฟูพลังของตน"




นักบวชชรากลับมีท่าทีสงบแล้วกล่าวว่า "สัญชาตญาณคนมักโลภ หากว่าไม่ใช่เพราะพวกเขาคิดอยากจะได้สมุนไพรชุบชีวิต แล้วพวกเขาจะมาที่เขาเทพวิญญาณนี้หรือ"




จางลั่วเฉินฮึ่มเสียงเย็น "ดังนั้น ข่าวลือสมุนไพรชุบชีวิต สำนักฌานมณะเป็นคนปล่อยออกมา เพื่อล่อให้ทุกคนมาตายที่เขาเทพวิญญาณนี้"




นักบวชชราส่ายหัวอีกครั้งแล้วกล่าว "ความคิดของโยมคับแคบเกินไป ทำไมไม่ยอมมองปัญหาเหล่านี้ในแง่ดีบ้าง มองในอีกมุมหนึ่ง อาตมาทำอย่างนี้ จริงๆแล้วก็แค่ช่วยชีวิตตนเอง หากว่า ไม่ล่อให้พวกเขามาที่เขาเทพวิญญาณ ไม่ดูดเลือดของพวกเขา สุดท้ายแล้วผู้ที่จะตาย ก็ต้องเป็นอาตมาใช่ไหม ? "




จางลั่วเฉินปิดตาลงแล้วผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ เขาสงบโทสะในใจแล้วสงบใจลงพลางกล่าวว่า "ข้าอยากรู้ สาเหตุทั้งหมดของเรื่อง"




นักบวชชราเองก็มีความอดทน แล้วกล่าวอย่างไม่ช้าไม่เร็วว่า "หนึ่งปีก่อน อาตมามายังดินแดนวิญญาณเพียงลำพังเพื่อมาแสวงหากำลังที่จะต่อต้านจักรพรรดิหญิงฉือเหยาได้ มาหาร่างเทพที่ถูกจักรพรรดิหญิงเชียนกู่ฆ่าตายในตอนนั้น"




"อาตมาหามาถึงเขาเทพวิญญาณ ตอนนั้น ก็ได้พบเข้ากับภูตราชาเสินชูที่กำลังจะชิงวิญญาณครั้งที่เจ็ดพอดี"




"หากว่า ภูตราชาเสินชูชิงวิญญาณครั้งที่เจ็ดได้สำเร็จ ร่างวิญญาณหลอมรวมกับร่างเทพเป็นหนึ่งเดียวได้ ก็จะกลายเป็นจักรพรรดิวิญญาณที่แข็งแกร่งไร้คนต้านได้"




"เพราะอย่างนี้ การต่อสู้นี้จึงไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้"




"แต่ว่า ดินแดนวิญญาณไม่เหมือนกับโลกคุนหลุน ที่นี่ไม่มีพลังหลิงชี่ฟ้าดินให้ใช้เพื่อทดแทนปราณเซียนที่เสียไปในร่าง เมื่อสู้ไป กำลังของอาตมาก็อ่อนแอลงเรื้อยๆ"




"รวมกับที่ ที่หุบเขาเทพวิญญาณนี้คือที่ของภูตราชาเสินชูด้วย เขาสามารถอาศัยพลังเทพในร่างศพเทพมาแสดงพลังที่แข็งแกร่งที่สุดออกมาได้" เมื่อนานเข้า การต่อสู้นี้ก็ไม่เป็นผลดีกับอาตมา แม้ว่า อาตมาจะสามารถกดเขาไว้ได้ แต่ว่าก็ทำให้ตนเองถูกกักอยู่ที่นี่ ไม่สามารถออกไปได้"




"หากเป็นอย่างนี้ต่อไป คนที่จะตายก็ต้องเป็นอาตมา อาตมาไม่ยินยอมที่จะถูกฝังที่นี่ จึงได้แต่ต้องพยายามสุดความสามารถเพื่อช่วยเหลือตนเอง"




"ขั้นแรก แน่นอนว่าต้องเปิดประตูเชื่อมดินแดนทั้งสองก่อน มีแค่เปิดทางเชื่อมออก วิญญาณของดินแดนวิญญาณถึงจะสามารถเข้าไปในโลกคุนหลุนได้จำนวนมาก และสิ่งมีชีวิตของโลกคุนหลุนถึงจะกล้าเข้ามาในดินแดนวิญญาณเพื่อมาที่เขาเทพวิญญาณนี้"




"ดังนั้น อาตมาจึงถอนกระบี่ซวีคงที่จักรพรรดิหญิงเชียนกู่ใช้กดร่างศพของร่างเทพเอาไว้ออก และใช้วิชาฌานมรณะควบคุมอู๋ฉางตนหนึ่งให้เอากระบี่ซวีคงออกไปจากดินแดนวิญญาณ"




"กระบี่ซวีคงออกไปจากดินแดนวิญญาณ สิ่งผนึกระหว่างดินแดนทั้งสองก็ผ่อนลง สุดท้ายก็หายไป" 




"ขั้นที่สอง แน่นอนว่าต้องให้คนของสำนักฌานมรณะปล่อยข่าวสมุนไพรวิเศษชุบชีวิตคนตายได้ออกไป เพื่อล่อให้ทุกคนมาที่นี่"




"ก้าวนี้คือก้าวสำคัญ หากว่าไม่มีเลือดของพวกเขา ต่อให้อาตมาเอาชนะภูตราชาเสินชูได้ แต่ก็ยังไม่มีทางเก็บศพเทพไปได้"




จางลั่วเฉินพยายามควบคุมอารมณ์ของตนเองมากแล้ว แต่ว่าก็ยังไม่สามารถควบคุมโทสะในใจได้แล้วกล่าวว่า "ดังนั้นเจ้าจึงลงมือเปิดทางเชื่อมดินแดนทั้งสองด้วยตนเอง แล้วล่อให้แม่ทัพภูตนำทหารวิญญาณออกไปที่โลกคุนหลุน เจ้ารู้ไหมว่า มันสร้างความหายนะไปเท่าไหร่ ? "




ใบหน้าของนักบวชชรามีรอยยิ้มประดับแล้วกล่าวว่า "ทำไมเจ้าต้องโมโหขนาดนั้นด้วย จริงๆ แล้ว หากว่าอาตมาไม่ดึงกระบี่ซวีคงออกไป รอให้ภูตราชาเสินชูชิงวิญญาณครั้งที่เจ็ดได้ ก็ต้องดึงกระบี่ซวีคงออกไปอยู่ดี และเขาก็จะเปิดทางเชื่อมสองโลก ไม่ว่าจะเป็นอย่างไหน ผลสุดท้ายก็ถูกกำหนดไว้แล้ว"




"ผ่านไปหนึ่งแสนปี ผนึกที่จักรพรรดิหญิงเชียนกู่ทิ้งไว้ เดิมก็อ่อนแอมากแล้ว"




"จางลั่วเฉิน นี่ก็คือเรื่องทั้งหมด ไม่ใช่อะไรที่เจ้าจะขวางได้ และไม่ใช่อะไรที่อาตมาจะขวางได้"




"เพียงแต่ว่า จากความสามารถของอาตมา สามารถทำให้สถานการณ์ส่วนใหญ่ ดำเนินไปได้เร็วขึ้น ทั้งยังทำให้สถานการณ์เป็นประโยชน์กับตนเองด้วย"




"ส่วนเจ้า กลับอ่อนแอเกินไป ต่อหน้าสถานการ์ใหญ่แล้ว ก็ราวกับหยดน้ำหยดหนึ่งในแม่น้ำ ได้แต่ต้องถูกกระแสน้ำพาไหลลงไป ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้เลย"




"พลัง ไม่ว่าอยู่ที่ไหน เมื่อไหร่ ขอแค่มีกำลังที่แข็งแกร่ง ก็จะสามารถทำอะไรที่มีความหมายได้ ไม่อย่างนั้น เจ้ากล่าวเหตุผลอะไรออกมา ก็ได้แต่ต้องพูดให้ตนเองฟังเท่านั้น"




พูดมาทั้งหมด จางลั่วเฉินก็เข้าใจความเป็นมาเป็นไปของเรื่องทั้งหมด




บรรพบุรุษสื่อฉานเป็นคนทีเห็นแก่ตัวจริงๆ เพื่อชีวิตของตนเองแล้ว กลับยอมสละชีวิตของผู้คนนับหมื่นนับพัน แต่ว่า หากมองจากมุมของเขาแล้ว ก็ไม่ได้ผิดอะไร




คน จะรอความตายไม่ได้ไม่ใช่หรือ?





แปลจากจีนขึ้นโดยเพจ



เข้าอ่านกลุ่ม VIP เพียงตอนล่ะ 2 บาทเท่านั้น

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ตอนที่ 1 :แปดร้อยปีหลัง

ตอนที่ 2 :เปิดบันทึกสวรรค์ยุทธ์