ตอนที่ 767 มังกรมัจฉาขั้นที่สิบ
วิญญาณเซียนที่ผู้ฝึกฝนพลังสมาธิฝึกฝนได้ มีส่วนที่ต่างไปจากวิญญาณเซียนที่ผู้ฝึกฝนวิชายุทธ์ฝึกฝนได้มาก
ผู้ฝึกฝนวิชายุทธ์ที่ไปถึงขั้นไร้ระดับจะสามารถควบคุมลมปราณในร่างและชำระล้างวิญญาณของตนได้ ทำให้วิญญาณแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ และเปลี่ยนแปลง จนสุดท้ายก็กลายเป็นวิญญาณยุทธ์
เมื่อวิญญาณยุทธ์แข็งแกร่งถึงระดับหนึ่งแล้ว ก็จะหลอมรวมกับวิถีเซียนอีกครั้งถึงจะรวมเป็นวิญญาณเซียนได้
ดังนั้น วิญญาณเซียนของผู้ฝึกวิชายุทธ์ จริงๆ แล้วก็คือวิญญาณยุทธ์ของตนเอง
วิญญาณเซียนของครึ่งเซียนพลังสมาธิกลับเริ่มจากไม่มีจนมีสภาพ เมื่อพลังสมาธิแข็งแกร่งถึงระดับหนึ่งแล้ว จิตใจ พลังในร่างและสมาธิของผู้ฝึกฝนก็จะแยกออกจากร่างแล้วรวมกันเป็นวิญญาณเซียนที่เป็นอิสระ
และเพราะอย่างนี้ จิตใจเซียนของเซียนหนังสือสาวในตอนนั้น เมื่อถูกไอแห่งความตายกดไว้จึงกลายเป็นเพียงหญิงสาวธรรมดาที่ไร้เรี่ยวแรงแม้จะฆ่าไก่
วิญญาณเซียนของครึ่งเซียนพลังสมาธิไม่ได้เกี่ยวข้องกับกฎวิถีเซียนมากนัก แค่ต้องฝึกพลังสมาธิให้แข็งแกร่งขึ้นไป วิญญาณเซียนก็จะยิ่งแข็งแกร่งขึ้น
ดังนั้น ผู้ฝึกฝนพลังสมาธิกับผู้ฝึกฝนวิชายุทธ์ จริงๆ แล้วคือเส้นทางสองเส้นที่ไม่เหมือนกันเลย
ชาเซียนสื่อสวรรค์หนึ่งกาเต็ม จางลั่วเฉินและฮวงเยียนเฉินแบ่งกันคนละครึ่ง
แต่ถึงอย่างนั้น ชาที่พวกเขาดื่มก็ยังคงมากกว่าราชาอายุน้อยคนอื่น
ที่นั่งผู้ยอดเยี่ยมเลี้ยงสุรา
ที่นั่งอัจฉริยะเลี้ยงเนื้อ
ที่นั่งราชาเลี้ยงชา
ที่นั่งรัชทายาทที่สูงศักดิ์ที่สุด จะเป็นของที่ล้ำค่าขนาดไหนกัน ?
หรือว่ายังมีอะไรที่ล้ำค่ากว่าชาเซียนสื่อสวรรค์อีก ?
ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ด้านหน้าเซียนหนังสือสาว มีชามหยกเก้าอันปรากฏขึ้นมาและวางไว้บนโต๊ะยาวหนึ่งโต๊ะ
ชามหยก เล็กน่ารักแต่ประณีต
ในชามนั้นใส่น้ำพุเอาไว้จนเต็ม มันเปล่งประกายสีพันออกมาและจุดแสงมากมายคล้ายกับดวงดาวบนท้องฟ้ามาก
"ที่นั่งรัชทายาท เลี้ยงน้ำพุ"
เซียนหนังสือสาวสะบัดพัด ชามน้ำพุทั้งเก้าก็กลายเป็นแสงเก้าสายมาที่ข้างกายของรัชทายาททั้งเก้า
เสวี่ยอู๋เย่ยื่นนิ่วเรียวนิ้วหนึ่งออกไปสัมผัสที่ริมขอบชามหยกเบาๆ ทันใดนั้น ผิวของชามหยกก็มีวงกังหันแสงแผ่ออกมามากมาย
เสวี่ยอู๋เย่ขมวดคิ้ว มือทั้งสองประสานกันแล้วถามว่า "บังอาจถามท่านเซียน ในชามนี้คือน้ำพุอะไรกันแน่ ? ทำไมข้าถึงได้กลิ่นเลือดจางๆ "
แววตาของเซียนหนังสือสาวมองจ้องไปที่เสวี่ยอู๋เย่แล้วกล่าว "สมกับที่เป็นคนรุ่นหลังของจักรพรรดิกระบี่จริงๆ ประสาทสัมผัสทั้งห้าเฉียบคมมาก สามารถเทียบเคียงกับเซียนได้เลย ไม่ผิด น้ำพุด้านหน้าทุกคนไม่ใช่น้ำพุธรรมดา แต่มันคือ'น้ำพุเทพ' "
"น้ำพุเทพ ? "
หลายคนในที่นี้ต่างก็ไม่สามารถสงบได้ ต้องรู้ว่า ทุกอย่างที่สามารถเกี่ยวพันธ์ไปถึง "เทพ" ได้ล้วนแต่ไม่ใช่ของธรรมดา
เซียนหนังสือกล่าว "น้ำพุเทพ คือน้ำพุที่ได้มาจากพิธีบูชายันต์ครั้งใหญ่ บนแท่นพิธีเลือดของสิ่งมีชีวิตหลายร้อยล้านรวมเข้ากับพลังเทพ สุดท้ายก็รวมได้เป็นน้ำพุชามเล็ก"
"นับตั้งแต่ที่จักรพรรดิหญิงครองราชย์มา ได้มีการจัดพิธีบูชายันต์ครั้งใหญ่ขึ้นทั้งหมดเก้าครั้ง และทุกครั้งจะมีน้ำพุเทพเพียงแค่หนึ่งชามเท่านั้น"
พิธีบูชายันต์ครั้งใหญ่ ไม่ใช่แค่การบูชายันต์ธรรมดา เรียกได้ว่าเป็นพิธีบูชาที่ใหญ่ที่สุดของโลกคุนหลุน มีจักรพรรดิหญิงเป็นผู้นำขุนนางบู๋บุ๋นในราชสำนัก และเซียนของแต่จะเขตไปภาวนาพร้อมกันด้วยตัวเองเพื่อเคารพเทพ ขอให้ประเทศและประชาชนร่มเย็นเป็นสุข ฝนฟ้าตกต้องตามฤดูกาล
ในงานพิธี แค่สัตว์ที่ฆ่าไปก็ไม่ต่ำกว่าร้อยล้านตัวแล้ว เลือดสดๆรวมกันได้เป็นทะเลสาบขนาดใหญ่
แต่ถึงกระนั้น งานพิธีทุกครั้งกลับมีน้ำพุเทพได้แต่หนึ่งชาม นี่ทำให้จิตนาการได้เลยว่า พบังที่แฝงอยู่ในน้ำพุจะน่าตกใจขนาดไหน
เซียนหนังสือกล่าว"น้ำพุเทพมีประโยชน์มากมายนานัปการ บางอย่าง พวกเจ้าก็ไม่มีทางเข้าใจได้ เปิ่นเซิ่งก็กล่าวได้แค่เล็กน้อย ประโยชน์หลักของน้ำพุเทพเลยก็คือ มันหลอมรวมโลหิตเทพไว้ในนั้นสามหยด"
"โลหิตเทพสามหยด?"
"นั่นไม่ใช่หมายความว่า แค่ดื่มน้ำพุเทพชามนี้ลงไป ก็เท่ากับหลอมรวมโลหิตเทพไปสามหยดแล้ว?" ไก้เทียนเจียวถาม
"ไม่ผิด"
เซียนหนังสือสาวพยักหน้าแล้วกล่าวต่อ"แน่นอนว่า พลังของน้ำพุเทพไม่ใช่เพียงเท่านั้นแน่นอน"
รัชทายาททั้งเก้าต่างก็นิ่งไปอย่างรู้สึกคาดไม่ถึง
บนเขาหนังสือ ผู้ฝึกฝนคนอื่นเองก็ต่างพากันตื่นตะลึง
ต้องรู้ว่า สำหรับผู้ฝึกฝนขั้นมังกรมัจฉาแล้ว ต่อให้หลอมรวมโลหิตเทพเข้าไปหนึ่งหยดก็ยังถือว่ายากแสนจะยาก หากไม่ระวัง ก็อาจจะตายได้
ผู้ที่สามารถหลอมรวมโลหิตเทพได้สองหยดถือว่าโดดเด่นมากแล้ว และเรียกได้ว่าเป็นอัจฉิยะในแผ่นดิน
อย่างเช่น ในประวัติศาสตร์ของเผ่าอมนุษย์เทพมังกร คนในเผ่าที่ร้ายกาจที่สุด ก็สามารถหลอมรวมโลหิตเทพได้สองหยดในขั้นมังกรมัจฉาเท่านั้น
ในขั้นมังกรมัจฉา หากว่าหลอมรวมโลหิตเทพไปได้สามหยด อนาคตจะต้องเป็นบุคคลที่ยิ่งใหญ่มากแน่ และอาจจะมีโอกาสเลื่อนไปถึงขั้นมหาเซียนได้ กลายเป็นสิ่งมีวิตที่แข็งแกร่งที่สุดในแผ่นดิน
มารของสำนักมารอย่างโอวหยางหวนเองก็มีพรสวรรค์เช่นนั้น
ผู้ที่สามารถนั่งเก้าอี้รัชทายาทได้มั่นคง ความสามารถของทุกคนก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าโอวหยางหวน และจะต้องหลอมรวมโลหิตเทพมาแล้วทั้งนั้นแน่
ตอนนี้หากว่าคนเหล่านี้ได้หลอมรวมโลหิตเทพเข้าไปอีกสามหยด แล้วพวกเขาจะน่ากลัวถึงขั้นไหนกัน?
ดวงตาวาวคู่นั้นของโอวหยางหวน มีประกายเฉียบคม เขาจ้องปังน้ำพุเทพในชามแล้วแอบลอบคิดว่า"ข้าหลอมรวมโลหิตเทพไปแล้วสามหยด อยากจะหลอมรวมเพิ่มอีกสักหยดให้ได้นั้นยากมาก และยังอันตรายมากด้วย หากไม่ระวังก็อาจจะตายได้"
"แต่ว่าน้ำพุเทพกลับไม่เหมือนกัน นี่คือเลือดสัตว์นับร้อยล้านพันล้านที่รวมจากงานพิธีบูชายันต์ครั้งใหญ่ รวมกับความเชื่อมั่นและจิตศรัทธาของประชาชนของประเทศศูนย์กลางประเทศแรกทั้งประเทศไว้ ถึงได้เกิดของวิเศษนี้ขึ้นมา หลมอรวมโลหิตเทพลงไปในน้ำพุ ผู้ฝึกฝนขั้นมังกรมัจฉาก็สามารถหลอมรวมและดูดกลืนได้อย่างง่ายดาย และเกิดตราประทับเทพขึ้นอีกสามอัน"
สำหรับโอวหยางหวนแล้ว แค่ดื่มน้ำพุเทพดข้าไป รวมๆกันก็เท่ากับเขาหลอมรวมโลหิตเทพเข้าไปแล้วถึงหกหยด
"หลอมรวมโลหิตเทพหกหยด จะสามารถฝึกฝนไปถึงขั้นที่สิบของขั้นมังกรมัจฉาในตำนานอย่าง"ชะตาเทพ"ได้ไหม?"
ต่อให้เป็นจิตใจอย่างโอวหยางหวนก็ยังตื่นเต้นมาก มือเขาสั่นขึ้นมาแล้วยกชามขึ้นพร้อมกลืนลงท้องไปไม่เหลือสักหยด
ในขั้นฝึกฝนยุทธ์สี่ขั้น ทุกๆขั้นจะมีขั้นไร้ระดับ หากฝึกฝนสำเร็จก็จะเท่ากับมีขั้นมากกว่าผู้ฝึกฝนคนอื่นหนึ่งขั้น
หากนับดูแล้ว ขั้นที่สิบของขั้นมังกรมัจฉา ก็คือขั้นไร้ระดับของขั้นมังกรมัจฉา
ที่ขั้นที่สิบของขั้นมังกรมัจฉาถูกเรียกว่า"ชะตาเทพ" ก็เพราะว่า ในสมัยอารยธรรมยุคกลาง มีเพียงผู้ฝึกฝนที่สามารถฝึกฝนไปถึงขั้นที่สิบของขั้นมังกรมัจฉาได้เท่านั้นที่สุดท้ายจะสามารถฝึกฝนจนกลายเป็นเทพได้
เพียงแต่ว่า ขั้นมังกรมัจฉาขั้นที่สิบยากเกินไป กระทั่งสมัยอารยธรรมยุคกลางที่เจริญรุ่งเรืองก็ยังมีแค่ไม่กี่คนเท่านั้นที่ทำได้
หลังสมัยอารยธรรมยุคกลางมา ผู้ฝึกฝนขั้นมังกรมัจฉาที่สามารถหลอมรวมโลหิตเทพสามหยดได้เองก็มีน้อยยิ่งกว่าน้อย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงขั้นที่สิบของขั้นมังกรมัจฉา
แต่ก่อน ต่อให้เป็นรัชทายาททั้งเก้าเองก็ไม่กล้าคิดหวังว่าจะฝึกฝนไปถึงขั้นที่สิบของขั้นมังกรมัจฉา แต่ตอนนี้กลับไม่ใช่แล้ว มีน้ำพุเทพช่วย ทุกคนต่างก็คิดอยากจะลองเลื่อนไปดู
หากว่าใครสามารถทำได้สำเร็จ เขาก็จะเป็นอันดับหนึ่งนับตั้งแต่สมัยอารยธรรมยุคกลาง
รัชทายาทคนอื่นๆอีกแปดคนเองก็รู้ถึงตำนานขั้นที่สิบของขั้นมังกรมัจฉา ดังนั้นพวกเขาเองก็รีบดื่มน้ำพุเทพลงไปและพยายามเลื่อนดู
ดวงตาคู่สวยของเซียนหนังสือ กวาดตามองไปยังร่างของรัชทายาททั้งเก้าไม่หยุด นางเองก็หวังมากว่าหนึ่งในพวกเขาจะมีสักคนที่สามารถไปถึงขั้นที่สิบของขั้นมังกรมัจฉาได้
ที่จักรพรรดิหญิงเอาน้ำพุเทพออกมาให้พวกเขาดื่มก็น่าจะเพราะหวังไว้อย่างนี้
ใครกันที่จะสามารถมี"ชะตาเทพ" ได้?"
ผ่านไปหนึ่งชั่วยาม รัชทายาททั้งเก้าต่างก็ดูซึมน้ำพุเทพหมดแล้ว ในร่างของพวกเขามีตราประทับเทพเพิ่มมาสามอัน ความสามารถก้าวหน้าไปมาก ร่างทั้งร่างมีปราณเซียนพุ่งออกมาไม่หยุด
หากว่าองค์ชายสามเผ่าโลหิตอมตะมาท้าทายอีกครั้ง ต่อให้เขาสวม"เกราะโลหิตร้อยเซียน" ของล้ำค่าของเผ่าโลหิตอมตะเอาไว้ ก็ยังมีแต่ต้องพ่ายแพ้ยับเยินอยู่ดี
"จากการฝึกฝนของข้าในตอนนี้ ต่อให้ไปเจอกับครึ่งเซียนขั้นที่สองก็ยังมั่นใจว่าจะสามารถเอาชนะได้ หากว่าเลื่อนไปขั้นครึ่งเซียนขั้นที่หนึ่ง คิดว่าคงสามารถไปสู้กับครึ่งเซียนขั้นที่สี่ที่อ่อนแอหน่อยได้แล้ว" ได้เทียนเจียวหัวเราะออกมาเสียงดัง
"ไม่รู้จริงๆว่า ต้องหลอมรวมโลหิตเทพเท่าไหร่จึงจะสามารถเลื่อนไปขั้นที่สิบของขั้นมังกรมัจฉาได้?"
โอวหยางหวนถอนหายใจ ถึงความสามารถของพวกเขาจะแข็งแกร่งขึ้นมามาก แต่ว่ากลับยังไปไม่ถึงขั้นที่สิบของขั้นมังกรมัจฉา ในใจจึงรู้สึกผิดหวังอยู่บ้าง
รัชทายาททั้งเก้าต่างก็ล้มเหลว ไม่มีใครเลยที่สามารถเลื่อนไปขั้นที่สิบของขั้นมังกรมัจฉาได้
กระทั่งเซียนหนังสือสาวเองยังถอนหายใจออกมา แม่จะมีน้ำพุเทพช่วย ก็ยังไปไม่ถึงขั้นที่สิบของขั้นมังกรมัจฉา หลังจากสมัยอารยธรรมยุคกลางมา น่าจะไม่มีสิ่งมีชีวิตไหนที่สามารถไปถึงขั้นในตำนานนั่นได้
แต่ว่า สายตาของเซียนหนังสือกลับมองไปยังร่างของหลินเยวี่ย
เพราะในใจนาง พรสวรรค์ของหลินเยวี่ยนั้นเหนือกว่ารัชทายาททั้งเก้า
หากว่าในโลกคุนหลุนจะมีใครสักคนที่สามารถฝึกฝนไปถึงขั้นที่สิบของขั้นมังกรมัจฉาได้ คนนั้นก็ต้องเป็นเขาแน่
น่าเสียดายที่เขากลับสนหญิงงาม ไม่สนอำนาจ ยอมเป็นเพียงองครักษ์ไม่ยอมเป็นรัชทายาท ทำให้เสียโอกาสที่ดีที่สุดครั้งหนึ่งไป
ยังไง น้ำพุโลหิตก็มีเพียงแค่เก้าชามเท่านั้น
ไม่มีน้ำพุโลหิตช่วย ยังไงก็ไม่มีทางที่จะมีใครสามารถฝึกฝนไปถึงขั้นที่สิบของขั้นมังกรมัจฉาได้แน่ เซียนหนังสือสาวเองก็ได้แต่ทอดถอนใจ
แต่นางกลับไม่รู้ว่า จางลั่วเฉินกับจักรพรรดิหญิงที่สูงส่งเคยเป็นคู่รักกันมาก่อน และยังเป็นศัตรูคู่แค้นกันด้วย
นางยิ่งไม่มีทางรู้ว่า ที่จางลั่วเฉินไม่ใช่ว่าไม่อยากเป็นรัชทายาท แต่เพราะไม่สามารถเป็นรัชทายาทได้ และยิ่งไม่กล้าเป็นรัชทายาทด้วย
งานเลี้ยงสุดท้ายก็ต้องจบลง มีทั้งคนที่ดีใจและเสียใจ ผู้ฝึกฝนอายุน้อยที่ไม่ได้ขึ้นเขาหนังสือต่างก็รู้สึกอิจฉาริษยามาก
สุราหกเซียนเหยียบสวรรค์ เนื้อจักรพรรดิกิเลนเพลิง ชาเซียนสื่อสวรรค์ น้ำพุเทพ ไม่ว่าอย่างไหนก็เป็นของวิเศษที่ทำให้ครึ่งเซียนต้องใจสั่นทั้งนั้น
"งานเลี้ยงรัชทายาทจะต้องถูกจารึกลงในประวัติศาสตร์ เพราะว่ามันเป็นสัญลักษณ์ว่าช่วงเวลารุ่งเรืองของเผ่ามนุษย์กำลังจะมาถึงแล้ว"
"จิตนาการได้เลยว่า หากข่าวแพร่ออกไป อาทิตย์ขึ้นวันพรุ่งนี้ เรื่องที่เกิดขึ้นในงานเลี้ยงรัชทายาททั้งหมดจะต้องทำให้สั่นสะเทือนไปทั้งแผ่นดิน รัชทายาททั้งเก้าจะกลายเป็นเป้าหมายให้เหล่าผู้ฝึกฝนอายุน้อยไล่ตาม กลายเป็นประมุขของยุคต่อไป"
"นอกจากรัชทายาททั้งเก้าแล้วคิดว่าหลินเยวี่ยเองก็คงกลายเป็นตำนาน ทั้งๆที่มีความสามารถเป็นรัชทายาทได้แท้ๆ แต่กลับยอมทิ้งโอกาสดีอย่างนั้น และยินดีเป็นเพียงองครักษ์ขององค์หญิงเยียนเฉิน"
"มีความหมายอะไร? รัชทายาทดื่มน้ำพุเทพลงไปแล้ว ความสามารถไม่รู้ก้าวหน้าไปเท่าไหร่ ตอนนี้เหนือกว่าเขาไปไกลแล้ว วันหลัง ทรัพยากรที่รัชทายาททั้งเก้าจะได้ยิ่งจะมากกว่านี้ ความต่างของเขากับรัชทายาททั้งเก้าก็จะยิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ" มีคนกล่าวอย่างดูถูก

ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น